ส่วนร่วมทางการเมืองในประชาธิปไตย มีอะไรบ้าง

การมีส่วนร่วมทางการเมืองของระบอบประชาธิปไตย

                การมีส่วนร่วมทางการเมือง หมายถึง การกระทำใดๆ ก็ตามที่เกิดโดยความเต็มใจไม่ว่าจะประสบผลสำเร็จหรือไม่ก็ตาม และไม่ว่าจะมีการจัดการอย่างไรเป็นระเบียบหรือไม่ และไม่ว่าจะเกิดขึ้นเป็นครั้งคราวหรือว่ามีความต่อเนื่องกัน จะใช้วิธีที่ถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ถูกต้อง เพื่อผลในการที่จะมีอิทธิพลต่อการเลือกนโยบายของรัฐหรือต่อการบริหารงานของรัฐ หรือต่อการเลือกผู้นำทางการเมืองของรัฐ ไม่ว่าจะเป็นในระดับท้องถิ่นหรือในระดับต่างชาตินั้น

การมีส่วนร่วมทางการเมือง มีความสำคัญต่อการที่จะพัฒนาประชาธิปไตยเป็นอย่างมาก คือ การทำให้ผู้ปกครองและผู้ที่ถูกปกครองได้มีโอกาสในการทราบความต้องการของกันและกัน อย่างแท้จริงทำให้การดำเนินการตามนโยบายของรับตอบสนองต่อผู้เป็นเจ้าของประเทศในการด้านของเศรษฐกิจ การเมือง รวมไปถึงสังคม

รูปแบบของการมีส่วนร่วมทางการเมืองนั้น มี 5 ประการด้วยกัน คือ

1. การออกเสียงในการเลือกตั้ง

2. การรณรงค์เพื่อที่จะทำการหาเสียง

3. การกระทำ ของแต่ละบุคคลเป็นเอกเทศต่อปัญหาทางการเมืองและสังคม

4. การเข้าร่วมกิจกรรมของกลุ่ม

5. กิจกรรมที่ก่อให้เกิดความรุนแรง การใช้ความรุนแรง และอาจเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย

รูปแบบของการมีส่วนร่วมทางการเมืองโดยทั่วไปที่ประชาชนนั้นสามารถปฏิบัติได้ ของประเทศไทยเรานั้น มีดังนี้

1. การไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง

การไปลงคะแนนเสียงเพื่อเลือกตั้งนั้นเรียกได้ว่า เป็นการมีส่วนร่วมทางการเมืองโดยรูปแบบประชาธิปไตยที่ให้มีการโหวตและมีคะแนน การมีส่วนร่วมในรูปแบบนี้นั้นคนไทยเรารู้จักกันดีมากที่สุด การเลือกตั้งนั้นถือได้ว่าเป็นเงื่อนไขที่สำคัญเป็นอย่างมาก ถ้าหากไม่มีการเลือกตั้งนั้น ประเทศนั้นก็จะจัดว่าเป็นประเทศที่มีการปกครองในระบอบของประชาธิปไตย เมืองไทยนั้นได้มีการเลือกผู้แทนราษฎรครั้งแรก เมื่อวันที่ 15  พฤศจิกายน พ.ศ. 2476 แต่ในขณะนั้นเป็นการเลือกตั้งในทางอ้อม เพราะว่าประชาชนนั้นต้องทำการเลือกตั้งผู้แทนในระดับท้องถิ่น และให้ผู้แทนท้องถิ่นนั้น ไปทำการเลือกตั้ง ผู้แทนราษฎรอีกทีหนึ่ง แต่ในปัจจุบันนั้นเราสามารถที่จะเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสมาชิกได้แล้ว  นอกจากนั้นในประเทศไทยนั้นยังมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล สมาชิกสภาจังหวัด กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และสมาชิกเขตสภาในกรุงเทพมหานคร ได้อีกด้วย รวมไปถึงผู้ว่าราชการจังหวัด

2. การรณรงค์เพื่อหาเสียง

ในระยะที่ไม่มีพรรคการเมืองนี้ การรณรงค์เพื่อทำการหาเสียง จะใช้บุคลิกและความสามารถตลอดจนชื่อเสียงส่วนตัว ยังไม่มีการกำหนดนโยบายเป็นส่วนร่วมของกลุ่ม และของพรรคการเมืองแต่อย่างใด จนกระทั่งการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 4 เมื่อวันที่ 6 มกราคม พ.ศ .2489 พรรคการเมืองนั้นจึงได้เป็นรูปเป็นร่างถึงแม้ว่าจะยังไม่มีพระราชบัญญัตินักการเมืองก็ตาม มีการรณรงค์หาเสียงอย่างกว้างขวาง แต่เมื่อมีการยึดอำนาจในการปกครองในเวลาต่อมาพรรคการเมืองจึงได้หมดบทบาทไป และได้กลับมามีบทบาทอีกครั้งนึ่ง เมื่อรัฐบาลนั้นได้มีการออกกฎหมายพรรคการเมืองฉบับแรก เมื่อปี พ.ศ.2489 มีพรรคการเมืองมา จดทะเบียนถึง 30 พรรค และในการเลือกตั้งในครั้งที่ 8 เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500 นั้น ประชาชนและพรรคการเมืองเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองในการรณรงค์เพื่อหาเสียงเลือกตั้งกันมากยิ่งขึ้นและอย่างกว้างขวางอีกด้วย

                ประเทศไทยนั้นได้มีความพยายามในการสร้างระบบการเมืองแบบประชาธิปไตยมามากกว่า 50 ปี แต่เหตุสำคัญที่ทำให้พรรคการเมืองนั้นยังคงอ่อนแอ เนื่องจากอำนาจของผู้ปกครองที่ผ่านมาในประเทศไทยนั้น หลายครั้งที่ไม่ได้อาศัยพรรคการเมืองเป็นฐาน พรรคการเมืองเองนั้นก็ไม่ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง การมีส่วนร่วมของประชาชนโดยการเข้าเป็นสมาชิกพรรคการเมืองนั้น จึงยังถือได้ว่า ไม่น่าพอใจและมีประสิทธิภาพเท่าที่ควรจะเป็นนัก